วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2559

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภาพพิมพ์ (อย่างย่อ)

จากคอลัมน์ของ . สมพร  คล้ายวิเชียร




ภาพพิมพ์บนผนังถ้ำยุคก่อนประวัติศาสตร์

             มนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์บังเอิญเอามือที่เปื้อนดินโคลนไปจับหรือวางทาบตามผนังถ้ำ ทำให้เกิดรอยฝ่ามือขึ้น ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงนำมือไปจุ่มสีแล้วเอามาวางทาบบนผนังถ้ำเกิดเป็นรูปมือในลักษณะต่างๆ ซึ่งเราเรียกวิธีการแบบนี้ว่า การพิมพ์ภาพและเรียกภาพที่เกิดขึ้นว่า ภาพพิมพ์จากนั้นก็ได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่องด้วยการหาวัสดุต่างๆ เช่น ไม้ แผ่นโลหะ แผ่นหิน แผ่นยาง ผ้าไหม ฯลฯ มาใช้พิมพ์แทนที่มือ จนเกิดกระบวนการพิมพ์ขึ้นมา 4 กระบวนการหลักๆ คือ ภาพพิมพ์ผิวนูน ภาพพิมพ์ร่องลึก ภาพพิมพ์พื้นราบ และภาพพิมพ์ตะแกรงไหม ซึ่งการพิมพ์ทั้ง 4 กระบวนการนี้ ได้รับ การพัฒนาคิดค้นขึ้นมา เพื่อใช้พิมพ์ภาพและตัวอักษรให้ได้เป็นจำนวนมากสำหรับใช้ในวงการธุรกิจ การค้า โดยพิมพ์เป็นหนังสือ แผ่นพับ ป้ายโฆษณา แผ่นปิดภาพยนต์ เสื้อผ้า หีบห่อ บรรจุภัณฑ์ กล่องขนม กล่องไม้ขีด ถุงใส่ของ เป็นต้น
            อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกระบวนการพิมพ์นั้นสามารถสร้างภาพได้สวยงามเหมือนกับ ผลงานจิตรกรรม อีกทั้งยังสามารถพิมพ์ภาพซ้ำๆ ที่เหมือนกันได้เป็นจำนวนมาก แต่จิตรกรรมไม่ สามารถทำภาพซ้ำกันได้ ถึงแม้ทำซ้ำก็ไม่เหมือนเดิม จึงทำให้ไม่เอื้ออำนวยต่อการสะสมและจัดจำหน่าย ดังนั้นศิลปินจึงได้นำกระบวนการพิมพ์ทั้ง 4 กระบวนการนั้นมาใช้ในการสร้างสรรค์ ผลงานศิลปะ เพื่อเอื้ออำนวยต่อการสะสมและจัดจำหน่ายให้ได้มากขึ้น จนกระทั่งเมื่อประมาณ 50 มานี้เอง ภาพพิมพ์ได้รับการยอมรับในวงการศิลปะว่ามีคุณค่าเป็นศิลปะอีกแขนงหนึ่งที่สามารถถ่ายทอด จินตนาการ อารมณ์ ความรู้สึกได้อย่างดีเยี่ยม
            จากที่กล่าวมาขึ้นต้นจะเห็นได้ว่าภาพพิมพ์นั้น มีจุดมุ่งหมายในทำอยู่ 2 ลักษณะ คือ ภาพพิมพ์งานพาณิชย์ที่พิมพ์ เพื่อใช้เป็นสื่อโฆษณา ประชาสัมพันธ์หรือสำหรับสร้างความสวยงามให้กับผลิตภัณฑ์ กับภาพพิมพ์งานศิลปะที่พิมพ์ เพื่อเป็นสื่อในการแสดงออกทางอารมณ์ ความรู้สึกของศิลปิน สำหรับเอกสารประกอบการสอนเล่มนี้ ผู้เขียนมุ่งเน้นเฉพาะภาพพิมพ์งานศิลปะ ดังนั้นจึง ขอกล่าวเฉพาะเนื้อหาสาระที่เกี่ยวกับศิลปะภาพพิมพ์หรือภาพพิมพ์ต้นฉบับเท่านั้น ซึ่งในการศึกษาผู้เรียนจำเป็นต้องมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับความหมาย ประเภท รูปแบบ การเซ็นชื่อและการเขียนข้อความต่างๆ ลงในภาพพิมพ์ต้นฉบับ ภาพพิมพ์พิสูจน์ ตลอดจนการเก็บรักษาผลงานภาพพิมพ์

             ภาพพิมพ์ในสหรัฐอเมริกาใช้คำว่า “Printmaking” สำหรับเรียกกระบวนการพิมพ์ที่ สร้างสรรค์เพื่อเป็นศิลปะและใช้คำว่า “Print” สำหรับเรียกกระบวนการพิมพ์ที่เป็นงานพิมพ์ทั่วไป โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับงานพาณิชย์ต่างๆ (พีระพงษ์ กุลพิศาล, 2531:68)
ภาพพิมพ์ คือ กระบวนการถ่ายทอดผลงานจากแม่พิมพ์ชนิดแผ่นโลหะ แผ่นไม้ แท่นหิน ตะแกรงไหม แล้วผ่านกระบวนการพิมพ์ ซึ่งจะได้ผลงานที่เหมือนๆ กัน เป็นจำนวนมากในด้านวิจิตรศิลป์

ประเภทของภาพพิมพ์

              ภาพพิมพ์มีกลวิธีแตกต่างกันขึ้นอยู่กับลักษณะของแม่พิมพ์ ดังนั้นการแบ่งประเภทของภาพพิมพ์จึงพิจารณาจากลักษณะแม่พิมพ์เป็นหลัก สามารถแบ่งออกได้ 4 กระบวนการหลัก คือ ภาพพิมพ์ผิวนูน ภาพพิมพ์ร่องลึก ภาพพิมพ์พื้นราบ และภาพพิมพ์ตะแกรงไหม

             1. ภาพพิมพ์ผิวนูน (Relief Printing) 

                      คือ กระบวนการพิมพ์ที่พิมพ์จากผิวส่วนที่อยู่สูงบนแม่พิมพ์ ดังนั้นส่วนที่ถูกแกะเซาะออกไปหรือส่วนที่เป็นร่องลึกลงไปจะไม่ถูกพิมพ์ ซึ่งแม่พิมพ์ในลักษณะนี้ เช่น แม่พิมพ์แกะไม้ แม่พิมพ์แกะยาง แม่พิมพ์กระดาษแข็ง แม่พิมพ์วัสดุ เมื่อเวลาพิมพ์แม่พิมพ์เหล่านี้จะใช้เครื่องมือประเภทลูกกลิ้ง ลูกประคบหนัง ทาหมึกลงบนส่วนนูนของแม่พิมพ์ แล้วนำไปพิมพ์ลงบนกระดาษอาจจะพิมพ์ ด้วยมือหรือแท่นพิมพ์ หมึกก็ติดกระดาษเกิดเป็นรูปขึ้นมา


                                            The Kissผลงาน Edvard Munch

              2. ภาพพิมพ์ร่องลึก (Intaglio Printing) 

                       คือ กระบวนการพิมพ์ที่พิมพ์จากส่วนที่อยู่ลึกเป็นร่องของแม่พิมพ์ ซึ่งแม่พิมพ์จะมีส่วนที่นูนและร่องเหมือนกับแม่พิมพ์ผิวนูน แต่เวลาพิมพ์ต้องอุดหมึกลงไป ในร่องลึกและเช็ดบริเวณที่ไม่ต้องการจะพิมพ์ออก แล้วนำกระดาษเปียกน้ำหมาดๆ วางลงบนแม่พิมพ์ จากนั้นพิมพ์ด้วยแท่นพิมพ์ที่มีแรงกดสูงเพื่อกดกระดาษให้ไปดูดซับหมึกขึ้นมา ซึ่งกลวิธีที่รวมอยู่ภายใต้กระบวนการนี้ ได้แก่ ภาพพิมพ์ภาพถ่าย ภาพพิมพ์มัชฌิมรงค์ ภาพพิมพ์อย่างสีน้ำ ภาพพิมพ์จารเข็ม ภาพพิมพ์แกะลายเส้น ภาพพิมพ์กัดกรด ภาพพิมพ์แบบเขียนถ่าน ภาพพิมพ์ กัดกรดพื้นนิ่ม ภาพพิมพ์กัดกรดรูปนูน



ชีวิต หมายเลข5  กมล ศรีวิชัยนันท์

              3. ภาพพิมพ์พื้นราบ (Planographic Printing หรือ Lithograph) 

                       คือ กระบวนการพิมพ์ที่พิมพ์จากพื้นแบนราบ ส่วนที่ถูกพิมพ์และส่วนที่ไม่ต้องการพิมพ์นั้นจะอยู่ในระนาบแม่พิมพ์ บริเวณทั้งสองจะต่างกันเพียงส่วนที่ต้องการพิมพ์จะเป็นไขหรือน้ำมัน แต่อีกส่วนที่ไม่ต้องการพิมพ์จะชุ่มด้วยน้ำ เมื่อเวลาพิมพ์จะใช้ลูกกลิ้งที่มีหมึกเชื้อน้ำมันติดอยู่ กลิ้งลงบนแม่พิมพ์ที่มีน้ำหมาดๆ เมื่อกลิ้งหมึกซึ่งเป็นไขผ่านไปบนแม่พิมพ์ หมึกเชื้อน้ำมันจะติดลงบนส่วนที่เป็นไขของแม่พิมพ์เท่านั้น จากนั้นนำเอากระดาษมาปิดทับบนแม่พิมพ์ เพื่อรีดกดให้หมึกติดกระดาษเกิดเป็นรูปภาพตามที่ต้องการ กลวิธีที่รวมอยู่ภายใต้กระบวนการนี้ ได้แก่ ภาพพิมพ์ครั้งเดียว และภาพพิมพ์หิน


Brustbild Einer Arbeitfrau ผลงาน Kathe Kollwitz

                  4. ภาพพิมพ์ตะแกรงไหม (Silk Screen) 

                      คือ กระบวนการพิมพ์ที่พิมพ์ โดยใช้ไม้ปาดสีรีดเนื้อสีผ่านตะแกรงเนื้อละเอียดลงมาสู่วัสดุที่ต้องการพิมพ์ ซึ่งบริเวณที่ไม่ถูกพิมพ์จะเป็นบริเวณตะแกรง ที่ถูกกันเอาไว้ไม่ให้สีลอดผ่านลงมาสู่วัสดุที่ต้องการพิมพ์

Marilyn ผลงาน Andy Warhol

อ้างอิง ; แหล่งที่มา: โดย สมาพร คล้ายวิเชียร

---------------------------------------------------------------------------------------------------นำเสนอโดย  rayibrayab ---------------------------------------------------------



" ร่มจำปา " เทคนิคสีน้ำ  ศิลปิน พัฒนา  ฉิมงาม
ตัวอย่าง..องค์ประกอบแบบย้อนเฉียงแสง..มุมมองจากใต้ร่มเงาสู่ภายนอก
"

วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2559

ความเป็นมาของสุนทรียศาสตร์
               สุนทรียศาสตร์เป็นศัพท์คำใหม่ ที่บัญญัติขึ้นโดย โบมการ์เด็น (Alexander Gottieb Baumgarte, 2305: 255)  ซึ่งก่อนหน้าที่เป็นเวลา 2000 กว่าปี นักปราชญ์สมัยกรีก เช่น เพลโต อริสโตเติล กล่าวถึงแต่เรื่องความงาม ความสะเทือนใจ ซึ่งเป็นความรู้สึกทางการรับรู้ (Sense Perception) ของมนุษย์ ปัญหาที่พวกเขาโต้เถียงกันได้แก่ ความงามคืออะไร ค่าของความงามนั้นเป็นจริงมีอยู่โดยตัวของมันเองหรือไม่ หรือว่าค่าของความงามเป็นเพียงความข้อความที่เราใช้กับสิ่งที่เราชอบ ความงามกับสิ่งที่งามสัมพันธ์กันอย่างไร  มีมาตรการตายตัวอะไรหรือไม่ที่ทำให้เราตัดสินใจได้ว่าสิ่งนั้นงามหรือไม่งาม
               โบมการ์เด็น มีความสนใจในปัญหาเรื่องของความงามนี้มาก เขาได้ลงมือค้นคว้ารวบรวมความรู้เกี่ยวกับความงามที่กระจัดกระจายอยู่มาไว้ในที่เดียวกัน เพื่อพัฒนาความรู้เกี่ยวกับความงามให้มีเนื้อหาสาระที่เข้มแข็งขึ้น แล้วตั้งชื่อวิชาเกี่ยวกับความงามหรือความรู้ที่เกี่ยวกับความรู้สึกทางการรับรู้ว่า Aesthetics     
               โดยบัญญัติจากรากศัพท์ภาษากรีก Aisthetics หมายถึง ความรู้สึกทางการรับรู้ หรือการรับรู้ตามความรู้สึก (Sense perception) สำหรับศัพท์บัญญัติภาษาไทย ก็คือ สุนทรียศาสตร์”   จากนั้นวิชาสุนทรียศาสตร์ ก็ได้รับความสนใจเป็นวิชาที่มีหลักการเจริญก้าวหน้าขึ้น สามารถศึกษาได้ถึงระดับปริญญาเอก ด้วยเหตุผลนี้ โบมการ์เด็น จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งสุนทรียศาสตร์สมัยใหม่ (ทวีเกียรติ ไชยยงยศ, 2538: 1)
ความหมายของคำว่าสุนทรียศาสตร์
               สุนทรียศาสตร์มีผู้ให้ความหมายของคำไว้หลายท่านดังตัวอย่างต่อไปนี้ 
               1.
สุนทรีศาสตร์ 
เป็นปรัชญาสาขาหนึ่ง ที่ว่าด้วยความงามและสิ่งที่งามทั้งในงานศิลปะและในธรรมชาติ โดยศึกษาประสบการณ์ คุณค่าความงามและมาตรฐานในการวินิจฉัยว่า อะไรงาม อะไรไม่งาม (ราชบัณฑิตยสถาน, 2532: 4)

ความงามในธรรมชาติและความงามในศิลปะ
               ความงามในธรรมชาติ  เป็นความงามที่ปราศจากการปรุงแต่ง เป็นความงามที่มนุษย์สามารถสัมผัสได้ เช่น ชมทิวทัศน์ทุ่งทานตะวัน หรือชมพระอาทิตย์อัศดงที่ภูผา เป็นต้น




               ความงามในศิลปะ  เกิดจากความรู้สึกภายในจิตใจ ที่อยากแสดงออกทางสุนทรียภาพจากประสบการณ์ต่างๆ และขึ้นอยู่กับการสัมผัสของแต่ละบุคคล


 

ผลงาน อ. พิชัย นิรันด์                                                   ผลงาน อ.เฉลิมชัย  โฆษิตพิพัฒน์

               2. สุนทรียศาสตร์  เป็นวิชาว่าด้วยสิ่งที่สวยงามหรือไพเราะ คำว่า Aesthetics (เอ็ซเธทถิกส์) มาจากภาษากรีกว่า Aisthetikos (อีสเธทิโคส) = รู้ได้ด้วยสัมผัสสุนทรียธาตุ (Aesthetics Elements) ซึ่งมีอยู่ 3 อย่างคือ (กีรติ บุญเจือ, 2522: 263)
                              -  ความงาม (Beauty)
                              - 
ความแปลกหูแปลกตา (Picturesqueness)
                              - 
และความน่าทึ่ง (Sublimity)

               คำว่า สุนทรียศาสตร์”  มาจากศัพท์ภาษาบาลีว่า สุนทรียะแปลว่าดี งาม สุนทรียศาสตร์จึงมีความหมายตามรากศัพท์ว่าวิชาที่ว่าด้วยความงาม ในความหมายของคำเดียวกันนี้ นักปราชญ์ ชาวเยอรมันชื่อ  Aisthetics Baumgarten (1718 - 1762) ได้เลือกคำในภาษากรีกมาใช้คำว่า Aisthetics ซึ่งหมายถึงการรับรู้ตามความรู้สึก (Sense Perception) เป็นวิชาเกี่ยวกับเรื่องทฤษฎีแห่งความงามตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า  Aesthetics ส่วนในภาษาไทยใช้คำว่าสุนทรียศาสตร์หรือวิชาศิลปะทั่วไป ดังนั้น จึงถือว่าศิลปะเป็นส่วนหนึ่งของสุนทรียศาสตร์หรือเมื่อกล่าวถึงสุนทรียศาสตร์เมื่อใดก็มักจะเกี่ยวข้องกับงานศิลปะนั่นเอง
ความหมายของสุนทรียภาพ
              สุนทรีภาพ” (Aisthetics) หมายถึง ความซาบซึ้งในคุณค่าของสิ่งที่งาม ไพเราะ หรือรื่นรมย์ ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ หรือศิลปะ (พจนานุกรมศัพท์ศิลปะ, 2530: 6)
               “สุทรียภาพหรือ สุนทรีย์ เป็นความรู้สึกที่บริสุทธิ์ ที่เกิดขึ้นในห้วงเวลาหนึ่ง ลักษณะของอารมณ์ หรือความรู้สึกนั้นเราใช้ภาษาต่อไปนี้แทนความรู้สึกจริง ๆ ของเรา ซึ่งได้ความหมายไม่เท่าที่เรารู้สึกจริง ๆ เช่น คำตอบต่อไปนี้
                            -  พอใจ (interested) 
                            - 
ไม่พอใจ (disinterested) 
                            - 
เพลิดเพลินใจ (pleause) 
                            - 
ทุกข์ใจ (unpleasuse) 
                            - 
กินใจ (empathy)

               อารมณ์ หรือ ความรู้สึกดังกล่าวนี้จะพาให้เกิดอาการลืมตัว (Attention span) และ เผลอใจ (psychical distance) ลักษณะทั้งหมดนี้เรียกว่า สุนทรีย์ หรือสุนทรียภาพ
               “สุนทรียภาพของชีวิต”  คือ สุนทรียศาสตร์เชิงพฤติกรรม หรือ ประสบการณ์ทางสุนทรียภาพ ซึ่งจะนำไปสู่ผลลัพธ์การเรียนรู้เพื่อการเป็นบัณฑิตที่สมบูรณ์ สองประการ อันได้แก่ การที่เป็นผู้ที่มีความซาบซึ้งในคุณค่าของสุนทรียภาพ และมีความเข้าใจธรรมชาติของชีวิตและดำรงตนให้มีคุณค่าต่อสังคม


ประโยชน์ของวิชาสุนทรียศาสตร์
               1. ส่งเสริมกระบวนการคิด การตัดสินความงามอย่างสมเหตุสมผล
               2.
ช่วยกล่อมกลมให้เป็นผู้มีจิตใจอ่อนโยน
               3.
เสริมสร้างประสบการณ์สุนทรียะให้กว้างขวาง
               4.
ส่งเริมแนวทางในการแสวงหาความสุข


               5.
ส่งเสริมให้เห็นความสำคัญของสรรพสิ่ง



วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2559

Pad file 0001 ( Test Link )
เนื้อหาประกอบการสอน(อย่างย่อ)
รายวิชา  หลักการทางศิลปกรรม
โดย rayibrayab
--------------------------------------------------------------------
U/1
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับศิลปกรรม

คำว่า ศิลปกรรม เป็นคำที่ใช้ในทางวิชาการในสถาบันการศึกษา ที่จัดการศึกษา
ในระดับปริญญาตรี ศิลปกรรมเป็นคำนามหมายถึง สิ่งที่เป็นศิลปะ, สิ่งที่สร้างสรรค์ขึ้นเป็นศิลปะ,
เช่น งานประติมากรรม งานสถาปัตยกรรมจัดเป็นศิลปกรรม (ราชบัณฑิตยสถาน. 2546: 1101)
คนส่วนมากเข้าใจว่าการออกแบบศิลปกรรม คือการสร้างสรรค์ผลงานทางศิลปะให้เกิดความงาม
แก่สายตา แต่แท้จริงแล้วความงามเป็นเพียงส่วนหนึ่ง จุดประสงค์ในการออกแบบศิลปกรรม
มีหลายสิ่งที่ต้องพิจารณาให้เหมาะสมทั้งด้านประโยชน์ใช้สอย ด้านความงามและความรู้สึกนึกคิด รูปแบบที่นำเสนอมีทั้งรูปแบบสองมิติและสามมิติ
          พฤติกรรมขั้นพื้นฐานทางศิลปกรรมของมนุษย์ล้วนเกิดจากแรงบันดาลใจกระทบ นำสู่กระบวนการคิดจากฐานคติความเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นศิลปกรรมที่มุ่งเน้นคุณค่าด้านความงามที่ช่วยยกระดับการพัฒนาสติ ปัญญาและรสนิยม  รวมถึงการมุ่งเน้นคุณค่าด้านประโยชน์ใช้สอย อาทิ การแต่งกายให้เหมาะสมชวนมอง การจัดที่อยู่อาศัยให้น่าอยู่ การปลูกต้นไม้สร้างบรรยากาศให้สดชื่น หรือการปรุงอาหารโดยตกแต่งให้ชวนรับประทาน เหล่านี้ล้วนมีจุดมุ่งหมายก่อให้เกิดการตอบสนองด้วยการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ เพื่อประโยชน์ในการดำเนินชีวิตทั้งทางส่วนตัวหรือทางสังคม
          เนื่องจากมนุษย์เป็นผู้สร้างสรรค์งานศิลปะและได้แบ่งประเภทของงานศิลปะ
ออกไปเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือวิจิตรศิลป์ (Fine Art) และประยุกต์ศิลป์ (Applied Art) ซึ่งจำเป็น
อย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจตั้งแต่ความหมายของศิลปะ การแบ่งประเภทของศิลปะ ความหมายของ
การออกแบบ การแบ่งประเภทของการออกแบบ เพื่อให้มองเห็นองค์ประกอบสำคัญ และจุด
มุ่งหมายของการกำหนดรูปแบบงานศิลปกรรมแต่ละประเภทได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

            ความหมายของ ศิลปะ
การจำกัดความให้แน่นอนว่าศิลปะคืออะไรเป็นเรื่องยาก เพราะศิลปะเป็นงาน
สร้างสรรค์ซึ่งผู้สร้างงานมักมีแนวคิดและรูปแบบในการสร้างสรรค์ให้เกิดความแปลกใหม่อยู่ตลอดเวลา เพื่อให้เกิดความเข้าใจเป็นพื้นฐานจึงอ้างอิงจากหนังสือเกี่ยวกับการบัญญัติศัพท์ที่ให้นิยามของคำว่าศิลปะไว้ดังนี้
ศิลป-, ศิลป์, ศิลปะ [สินละปะ-, สิน, สินละปะ] . ฝีมือ, ฝีมือทางช่าง, การแสดง
ออกซึ่งอารมณ์สะเทือนใจให้ประจักษ์เห็น โดยเฉพาะ หมายถึง วิจิตรศิลป์ (ราชบัณฑิตยสถาน.
2539: 738)
ศิลป-, ศิลป์, ศิลปะ[สินละปะ-, สิน, สินละปะ] . การประดับ, ฝีมือ, ฝีมือทางช่าง,
การแสดงออกให้เห็นถึงอารมณ์สะเทือนใจ (พจนานุกรมฉบับเฉลิมพระเกียรติ. 2534: 505)
ศิลปะ คือ ผลแห่งพลังความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ ที่แสดงออกในรูปลักษณ์
ต่างๆ ให้ปรากฏในสุนทรียภาพ ความประทับใจ หรือความสะเทือนอารมณ์ ความมีอัจฉริยภาพ
พุทธิปัญญา ประสบการณ์ รสนิยม และทักษะของแต่ละคน เพื่อความพอใจ ความรื่นรมย์ ขนบ
ธรรมเนียม จารีตประเพณี หรือความเชื่อในลัทธิศาสนา (พจนานุกรมศัพย์ศิลปะ. 2541: 26)
ในประเทศไทยศิลปินและนักการศึกษาได้นิยามความหมายของคำว่าศิลปะไว้ดังนี้
คำว่า “Art” ตามแนวสากลนั้นมาจากคำว่า Arti และ Arte ซึ่งเริ่มนิยมใช้
ในสมัยเฟื่องฟูศิลปวิทยา ความหมายของคำ Arti นั้น หมายถึง กลุ่มช่างฝีมือในศตวรรษที่ 14 -16 คำ Arte มีความหมายถึง ฝีมือ ซึ่งรวมถึงความรู้ของการใช้วัสดุของศิลปินด้วย เช่น การผสมสีลงพื้นสำหรับการเขียนภาพสีน้ำมัน หรือการเตรียมและการใช้วัสดุอื่นอีก (วิรัตน์  พิชญไพบูรณ์. 2528: 1)
ศิลปะ หมายถึง สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นให้แก่ตัวเขาเองและสร้างความเข้าใจให้
แก่สังคม (อารี สุทธิพันธ์. 2532: 143)
ศิลปะ คือ สิ่งที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อแสดงออกซึ่งอารมณ์ ความรู้สึก ปัญญา
ความคิดและความงาม (ชลูด นิ่มเสมอ. 2539: 15)
ยังมีคำนิยามของศิลปะที่น่าสนใจและถูกใช้อ้างอิงอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
ที่ปรากฏตามหนังสือและเอกสารต่างๆ ดังตัวอย่างพอสังเขปดังนี้
ศิลปะ คือ การเลียนแบบธรรมชาติ
ศิลปะ คือ การถ่ายทอดความรู้สึกหรือแสดงความรู้สึกเป็นรูปทรง
ศิลปะ คือ สื่อภาษาชนิดหนึ่ง
ศิลปะ คือ การแสดงออกทางบุคลิกภาพเด่นๆ ของศิลปิน
คำนิยามที่ได้รวบรวมไว้นั้น จะเห็นได้ว่า ศิลปะ คือ สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อแสดงออกถึงฝีมือและความคิดสร้างสรรค์ ความเชื่อ รสนิยม บุคลิกและภูมิหลังของผู้สร้างงานมีทักษะ ความเพียร ความประณีตและภูมิปัญญา ช่างฝีมือสมัยโบราณเป็นผู้ทำงานศิลปะและฝึกคนรุ่นหลังซึ่งส่วนใหญ่เป็นเครือญาติให้สืบสานความรู้และฝีมือทางช่างจนทำให้เกิดสกุลช่างต่างๆขึ้น  ต่อมาสังคมเกิดการแผ่ขยายวงกว้างและมีโครงสร้างสลับซับซ้อนขึ้น  ผู้คนมีการศึกษา และมีอิสระทางความคิดมากขึ้น เกิดสถาบันการศึกษาด้านต่างๆ มากมายรวมทั้งด้านศิลปะ แนวคิดด้านศิลปะเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย เกิดการแบ่งแยกระหว่างช่างฝีมือผู้ทำงานฝีมือและศิลปินผู้สร้างสรรค์งานวิจิตรศิลป์
ในปัจจุบัน เมื่อเราพูดถึงศิลปะเพียงคำเดียว จะหมายถึงเฉพาะศิลปะที่เป็นวิจิตรศิลป์เท่านั้น ส่วนงานศิลปะที่ทำขึ้นเพื่อจุดประสงค์อย่างอื่นจะเรียกว่าประยุกต์ศิลป์ หรือเรียกจำแนกออกไปตามสาขา เช่น หัตถศิลป์ (Craft Art) อุตสาหกรรมศิลป์ (Industrial art) พานิชศิลป์ (Commercial Art) มัณฑนศิลป์ (Decorative Art)นิเทศศิลป์ (communication art ) ว่าได้ประยุกต์ศิลปะ หรือสุนทรียภาพเข้าไปในงานอุตสาหกรรม งานสื่อสารมวลชนหรืองานตกแต่งบ้านเรือนแล้ว
นอกจากนี้ คำว่าศิลปะยังมีความหมายในวงที่แคบเข้ามาอีก 2 ความหมาย คือ
1. ศิลปะ หมายถึง เฉพาะงานทัศนศิลป์ ซึ่งประกอบด้วยประติมากรรม จิตรกรรม
ภาพพิมพ์ และงานสร้างสรรค์อื่นซึ่งใช้การเห็นเป็นปัจจัยในการรับรู้เท่านั้น


คำว่า ศิลปิน (artist) ที่นิยมใช้กันทั่วไปทุกวันนี้ ส่วนมากหมายถึงผู้สร้างงานทัศนศิลป์ ได้แก่ จิตรกร ประติมากร และศิลปินภาพพิมพ์สำหรับผู้ทำงานศิลปะสาขาอื่นไม่นิยมเรียกว่าศิลปิน แต่จะมีคำเฉพาะตามสาขาอาชีพ เช่น สถาปนิก นักประพันธ์ นักดนตรี นักแสดง มัณฑนากร นักออกแบบ เป็นต้น
2. ศิลปะ หมายถึง ความมีคุณภาพหรือคุณค่าทางศิลปะของผลงาน ดังนั้นหากผลงานที่ออกมาไม่มีคุณค่าทางสุนทรียะหรือความงามเพียงพอ ก็ไม่อาจจัดให้ผลงานชิ้นนั้นเป็นงานศิลปะได้

การแบ่งประเภทของศิลปะ
การแบ่งประเภทของศิลปะนั้นมีผู้แบ่งไว้หลายแนวทาง ชลูด นิ่มเสมอ (2539:
3-4) ได้จำแนกแนวทางการแบ่งไว้ชัดเจนเป็นข้อๆ 3 วิธี ดังนี้คือ
1. ศิลปะแบ่งตามจุดมุ่งหมายของการสร้าง
2. ศิลปะแบ่งตามลักษณะของสื่อในการแสดงออก
3. ศิลปะแบ่งตามลักษณะของการรับสัมผัส

1. ศิลปะแบ่งตามจุดมุ่งหมายของการสร้าง
การแบ่งประเภทของศิลปะตามจุดมุ่งหมายของการสร้างอาจแบ่งได้ดังนี้
   1.1 วิจิตรศิลป์ (fine art) ได้แก่ งานจิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์
สถาปัตยกรรม เป็นศิลปะที่สร้างขึ้นเพื่อให้ความรู้สึกทางสุนทรียภาพ ให้อารมณ์สะเทือนใจ
ปลุกความเห็นแจ้ง ให้ประสบการณ์ใหม่ หรือให้ความประเทืองปัญญาแก่ผู้ดู


   1.2 ประยุกต์ศิลป์ (applied art) เป็นศิลปะที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์
อย่างอื่นนอกเหนือจากความชื่นชมในคุณค่าของศิลปะโดยตรง เช่น ภาพหรือลวดลาย
ที่ใช้ตกแต่งอาคารหรือเครื่องเรือน รูปทรง สีสันของผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ออกแบบให้เป็น
ที่พอใจของผู้บริโภค หรือเครื่องใช้ไม้สอยที่ทำขึ้นด้วยฝีมือประณีต ศิลปะที่ประยุกต์เข้าไป
ในสิ่งที่ใช้ประโยชน์เหล่านี้ จะให้ความพอใจอันเกิดจากความประณีต สวยงาม ความกลมกลืน

แก่ประสาทสัมผัสควบคู่ไปกับประโยชน์ใช้สอย
2. ศิลปะแบ่งตามลักษณะของสื่อในการแสดงออก
สื่อในการแสดงออกหรือเรียกอีกนัยหนึ่งว่า สื่อสุนทรียภาพของงานศิลปะแต่ละ
สาขาย่อมแตกต่างไปตามธรรมชาติของการแสดงออก ซึ่งอาจแบ่งออกได้เป็น 5 สาขาคือ
   2.1 สถาปัตยกรรม (architecture) เป็นศิลปะที่แสดงออกเป็น 3 มิติ ด้วย
การใช้วัสดุ โครงสร้าง และปริมาตรของที่ว่างกับรูปทรง
  
  2.2 ประติมากรรม (sculpture) เป็นศิลปะที่แสดงออกเป็น 3 มิติ ด้วยการ
ใช้วัสดุ และปริมาตรของรูปทรง
 2.3 จิตรกรรม (painting) เป็นศิลปะที่แสดงออกด้วยการใช้สี แสง เงาและ
แผ่นภาพที่แบนราบ เป็นงาน 2 มิติ ซึ่งบางครั้งอาจใช้หลักทัศนียภาพลวงตาให้เกิดเป็นภาพ
3 มิติ
2.4 วรรณกรรม (literature) เป็นศิลปะที่แสดงออกด้วยการใช้ภาษาสื่อสาร
     
2.5 ดนตรีและนาฏกรรม (music and drama) เป็นศิลปะที่แสดงออก
ด้วยการใช้เสียง (หรือภาษา) และความเคลื่อนไหวของร่างกาย

3. ศิลปะแบ่งตามลักษณะของการรับสัมผัส
ประสาทรับสัมผัสของมนุษย์ประกอบด้วยประสาททางตา หู จมูก ลิ้น
และกาย แต่การรับสัมผัสที่ให้ความพอใจในสุนทรียภาพในระดับสูงมี 2 ทาง คือ ทางตา และทางหู
ดังนั้น จึงมีการแบ่งศิลปะตามลักษณะของการรับสัมผัสออกได้เป็น 3 สาขา คือ

  3.1 ทัศนศิลป์ (visual art) เป็นศิลปะที่รับสัมผัสด้วยการเห็น ได้แก่   สถาปัตยกรรมประติมากรรม จิตรกรรม และภาพพิมพ์   

   3.2 โสตศิลป์ (audio art) เป็นศิลปะที่รับสัมผัสได้ด้วยการฟัง ได้แก่ ดนตรี และวรรณกรรมซึ่งวรรณกรรมในที่นี้รับรู้โดยการฟัง ทั้งดนตรีและวรรณกรรมอาจเกิดขึ้นได้  จากจินตนาการเรียก
จินตศิลป์ (imaginative art) ก็ได้

   3.3 โสตทัศนศิลป์ (audio visual art) เป็นศิลปะที่รับสัมผัสด้วยการฟัง
และการเห็นพร้อมกัน ได้แก่ นาฏกรรม การแสดงภาพยนตร์ ซึ่งเป็นการผสมกันของวรรณกรรม
ดนตรี และทัศนศิลป์ บางแห่งเรียกศิลปะสาขานี้ว่าศิลปะผสม (mixed art)

จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้นในเรื่องความหมายของศิลปะหรือการแบ่งประเภท
และสาขาของศิลปะ จุดสำคัญอันหนึ่งของการทำงานศิลปะคือการออกแบบ เพราะการออกแบบ
คือการวางแผนงาน ไม่ว่าจะทำงานใดก็ตามล้วนต้องเริ่มต้นจากการวางแผนทั้งสิ้น

-------------------------------------------------------------

"การศึกษาและปฏิบัติการนอกสถานที่ทางศิลปกรรม "

@ เตรียมตัวสู่..."การศึกษาและปฏิบัติการนอกสถานที่ทางศิลปกรรม " ของนักศึกษาและคณาจารย์ สาขาศิลปะ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ณ   อุทยานแห่งชาติภูผาเทิบ จ.มุกดาหาร...จุดศึกษาระหว่างทาง...มหาเจดีย์ชัยมงคล วัดผาน้ำทิพย์ อ.หนองพอก จ.ร้อยเอ็ด...ดูพุทธศิลป์ร่วมสมัย ทั้งพุทธศิลป์ประดิษฐ์ จิตรกรรม ประติมากรรมและพุทธศิลป์สถาปัตย์...สิมวัดท่ามโนรมย์ อีกแหล่งโบราณคดีอิทธิพลศิลปะลานช้างและจำปาศักดิ์...วัดภูมโนรมย์ที่กำลังอยู่ระหว่างก่อสร้างองค์พระปฏิมาขนาดใหญ่ยอดเขา เพื่อศึกษาการขยายรูปด้วยเทคโนโลยีเชิงช่างสมันใหม่..ศึกษาและปฏิบัติการจิตรกรรมบนภูผาเทิบหนึ่งในชุดเขาหินตั้งทับเทินของชุดเมือกเขาภูพานตะวันออกเฉียงใต้...ระหว่างวันที่ 3 - 6 กุมภาพันธ์นี้...ภายใต้คำแนะนำความรู้ทางโบราณคดีและวิทยากรผู้เชี่ยวชาญปฏิบัติการทางศิลปกรรมโดยเฉพาะ.....



วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2559

คำอธิบายรายวิชา รายวิชาเปิดของ rayibrayab 2/2558



คำอธิบายรายวิชา รายวิชาเปิดของ rayibrayab 2/2558

@ 2011107n หลักการทางศิลปกรรม ; Principles of Arts 3[2-2-5]

ทฤษฎีองค์ประกอบศิลป์ หลักการทางศิลปกรรม โครงสร้างทางศิลปกรรม ทัศนธาตุทางการเห็น

เพื่อเป็นกระบวนการเบื้องต้นในการสรา้งสรรค์งานทัศนศิลป์และการออกแบบ...//


@ 2013112n สุนทรียศาสตร์และการวิจารณ์ศิลปะ ; Aesthetics and Creaticism 3[2-2-5]

พื้นฐานทางสุนทรียศาสตร์ ทฤษฎีการวิจารณ์ กระบวนการศึกษา การตีความของงานศิลปะ เพื่อ

ชี้ให้เห็นสาระสำคัญที่บ่งบอกคุณค่าของสุนทรียศาสตร์ สามารถวิจารณ์ผลงานศิลปะ มีความรอบรู้และเป็นกลาง...//..


@ 2022306x ภาพพิมพ์สร้างสรรค์ ; Creative Printmaking 3[2-2-5]

รูปแบบ เนื้อหาและเรื่องราวในงานภาพพิมพ์แบบต่างๆ โดยเน้นความคิดสร้างสรรค์ เพื่อแสดงเรื่องราวให้เกิดคุณค่าทางความงาม...//..


--------------------------------------